วันนั้นที่ได้พบเธอ (That day i had met you)
ทุกๆอย่างมีการได้พบและลาจากกันไป เราไม่รู่ว่าเมื่อไหร่เวลาแห่งการพลัดพรากนั้นจะมาถึง สิ่งที่ทำได้มีเพียงทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ผู้เข้าชมรวม
68
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
“นี่จ้ะ! ฉันให้เธอ” เธอยื่นกระเป๋าใบนั้นให้กับผม
“ตั้งใจเรียนนะ แล้วพบกันอีก” เธอวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่จำความได้ เธอนั้นก็เข้ามาตราตึงในใจของเด็กน้อยเช่นผมจนถึงทุกวันนี้ นั่นเป็นรักครั้งแรกของผมตอนผมอายุ 8 ขวบที่กำลังจะเดินทางไปสวนสัตว์กับพ่อและแม่ จากนั้นเธอก็ได้หายไปพร้อมผู้คนในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ผมอยากจะพบและรู้จักเธออีกครั้ง
“กริ๊งๆๆ” เสียงนาฬิกาปลุกดังข้างๆเตียงนอนผม
“เฮ้อ! เช้าแล้วเหรอ อยากนอนต่อจัง”
ณ เมืองแห่งการพัฒนาเทคโนโลยี ประเทศยักษ์ใหญ่แห่งทวีปทางซีกโลกตะวันออก
ผมทานอาหารเช้าง่ายๆอย่างขนมปังทากับแยม แล้วมุ่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินใกล้ๆคอนโดฯของผม
ที่นี่เป็นสถานีต้นทางของสายหลักประจำเมือง โรงเรียนที่ผมอยู่ต้องนั่งไปอีก 5 สถานี ผมแตะบัตรโดยสารแล้วรีบวิ่งไป ด้วยความไม่ระมัดระวัง ทำให้ของสำคัญอย่างกระเป๋าสตางค์ของผมที่ได้รับเมื่อนานมาแล้วร่วงลงพื้น ผมรีบก้มตัวลงไปเก็บ แต่แล้วก็มีคนคนหนึ่งช่วยเก็บให้
“นี่ค่ะ ที่คุณทำตกเมื่อสักครู่นี่”เธอยื่นกระเป๋าใบนั้นให้อย่างสุภาพ
ผมมองหน้าเธอที่พูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม จู่ๆก็เห็นภาพผู้หญิงคนนี้ซ้อนกับคนที่ให้กระเป๋าใบนี้กับผมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
“ขอบคุณมากๆครับ” จากนั้นก็รีบวิ่งอย่างสุดความสามารถให้ทันรถไฟขบวนนี้
พอขึ้นไปได้ก็กวาดสายตารอบๆเพื่อหาที่นั่ง
“เจอแล้ว นั่นไง” ผมรีบเข้าไปนั่ง
พอหันไปเห็นคนที่นั่งข้างๆเป็นผู้หญิงคนที่เก็บกระเป๋าให้ ผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับว่าผมเจอรักแรกของผมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับเธอคนที่นั่งข้างๆผมตอนนี้ไม่มีผิด ผิวขาวผ่อง ผมดำขลับ หน้าตาสะสวย ติดกิ๊บสีเทาลายแมวและท่าทางใจดี ใส่ชุดคล้ายๆกับพวกนักวิทยาศาสตร์
“หรือว่า ผมจะตกหลุมรักเธองั้นเหรอ” จิตใจของผมรู้สึกอย่างนั้น
“ไม่ๆๆ เรามีเธอคนนั้นอยู่แล้ว” อย่างกับมีเทวดาและปีศาจกำลังทะเลาะกันในหัว
แต่คิดอีกทีนั้นก็แค่ความรู้สึกของผมเมื่อวัยเด็ก แม้แต่ชื่อของเธอคนนั้นก็ยังไม่รู้เลย ผมไม่อาจห้ามความรู้สึกนี้ได้ จึงทิ้งความรู้สึกเมื่อวัยเด็กที่คอยขังผมมาแทบตลอดชีวิต
“คุณครับ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าครับ?”
นั่นเป็นคำพูดรวบรวมความกล้าทั้งหมดในชีวิตที่เคยมีมาเพราะว่าถ้าไม่พูดออกไป ผมอาจไม่มีโอกาสได้เจอกับเธออีก
“ไม่นี่คะ?” แววตาของเธอที่พูดออกมาดูเศร้าและดูเหมือนมีความหลังอยู่
จากนั้นผมจึงได้ชวนเธอคุย
“ผมชื่อนาย นากาเซะ อิมารุ อายุ 18 ปี เป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลาย”
พอแนะนำตัวจบ เธอทำหน้าเหมือนเห็นบางอย่างในตัวผม
“ดิฉันชื่อ เนริชิมะ โคยูกิ ทำงานบริษัทของรัฐค่ะ”
ผมไม่รอช้าเพราะสถานีต่อไปเป็นสถานีสุดท้ายแล้ว
“ผมขอเฟสบุ๊คคุณหน่อยได้ไหมครับ ผมรู้สึกชอบคุณ”
พูดไปแล้ว เราพูดไปแล้ว เธอจะปฏิเสธเรารึเปล่านะ
“ค่ะ ได้สิคะ”
ว่าแล้วเธอก็หยิบปากกาขึ้นมาเขียนใส่สมุดโน้ตเล็กๆแล้วฉีกให้ ทำให้ผมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ไม่ทราบว่ามีเวลาไหมครับ? ผมอยากเลี้ยงตอบแทนคุณ”
เธอทำหน้าดีใจแต่ก็ทำมาดเคร่งขรึมแต่อ่อนโยน
“ขอรับไว้แล้วกันนะคะ”
ผมและเธอได้ลงจากขบวนรถไฟที่สถานีที่ 5 ซึ่งมีร้านขายของมากมาย ตั้งแต่ร้าน 20 บาททุกอย่างยันร้านแบรนด์เนมหรูของพวกฝรั่งมังค่า ผมได้เลี้ยงกาแฟเอสเปรสโซ่ไป 1 แก้วจากร้านกาแฟสตาร์บัคส์
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยเก็บกระเป๋าให้ผม ไม่งั้นกระเป๋าชองผมได้หายไปพร้อมกับคลื่นมนุษย์แน่เลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอกล่าวอย่างสุภาพและทำสีหน้าอ่อนโยน
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เธอกล่าวลา ทำให้ผมต้องตกใจ แล้วก้มลงดูที่นาฬิกาข้อมือ
“ผมก็ด้วยเช่นกันครับ”
ว่าแล้วเราทั้งคู่ก็ได้เดินไปทำภารกิจประจำวันของแต่ละฝ่าย ผมได้หันหลังไปดูเธอและพวกเราทั้งสองคนได้สบตากัน เธอยิ้มเหมือนตัวเองได้เริ่มทำภารกิจบางอย่างลุล่วงไปด้วยดี บรรยากาศรอบๆตัวผมก็ได้เปลี่ยนไป ผมทำสำเร็จแล้ว
ตอนเย็นช่วงวันที่อากาศดีมาก ผมขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเพื่อที่จะกลับคอนโดฯเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้เกิดเรื่องราวมากมายจนหัวผมแทบประมวลผลไม่ทัน ผมไม่เคยมีความรักครั้งใหม่เลยตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีมานี้
“คุซากิ เรามีเรื่องจะปรึกษานายวะ”
คิจิเมะ คุซากิ เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมที่อยู่ต่างห้องกัน พวกเราอาศัยอยู่ที่คอนโดฯแห่งเดียวกัน แต่คนละตึกกันไม่ห่างกันมากนัก
“นายคิดไงกับการคบกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าตัวเองอะ?”
คุซากิทำหน้าเฉยชาใส่ผม ก่อนจะเอ่ยความเห็นของตนเอง
“ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติหนิ ความรักไม่เกี่ยวกันกับอายุสักหน่อย” ผมฟังคุซากิพูดขณะจับที่ยึดมือยืนอยู่ในขบวนรถไฟ
เมืองแห่งนี้ตอนกลางคืนมีผู้คนมากมาย และเป็นเมืองที่รัฐบาลประกาศเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยีภายใน 15 ปี โดยทำการลดภาษีต่างๆจนเมืองนี้มีผู้คนมาปลูกบ้านและเข้ามาอยู่อาศัย ส่วนใหญ่มาเพื่อหาโอกาสในชีวิตทั้งทำงาน เรียนหนังสือ ลงทุนธุรกิจมากมาย ส่งผลให้มีที่อยู่อาศัยผุดขึ้นมากมายอย่างกับดอกเห็ด รวมถึงตัวผมที่ได้สอบเข้าเรียนโรงเรียนในเมืองนี้ได้เมื่อ 2 ปีก่อน จึงเข้ามาพักอยู่ที่คอนโดฯที่รัฐบาลเป็นคนสร้าง เพื่อรองรับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศของประเทศนี้ รวมทั้งชาวต่างชาติอีกด้วย
ผมได้แยกกับคุซากิแล้วเข้าพักห้องของตนเอง พอถึงเตียงก็กระโดดเอาหน้าจมหมอน
“รู้สึกดีจัง ไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อนเลย!!”
หน้าของเธอที่เราเจอกันวันนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผม แต่ไม่ทันใดก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า
“แต่ทำไมเรารู้สึกว่าเราขอ แล้วเธอก็ให้อย่างง่ายๆเลยนะ?” อารมณ์กำลังแปรปรวน ผมตัดสินใจรีบอาบน้ำอุ่นเพื่อผ่อนคลายความกังวล
“เหมือนเป็นพรหมลิขิตบันดาลเลย” นั่นคือสิ่งที่คิดได้ในนี้ และปล่อยให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบเช่นเคย
เนื่องจากว่ามีสิ่งที่อยากจะได้มากมาย ผมจึงหางานพาร์ทไทม์เพื่อจุนเจือค่าใช้จ่ายจิปาถะ อาทิเช่น ค่าหนังสือการ์ตูนที่อยากได้ แต่ทางบ้านไม่สนับสนุน งานที่ผมทำคือการส่งพิซซ่า เวลาทำงานคือทุกตอนบ่ายของวันเสาร์-อาทิตย์ ผมสังเกตเห็นรายชื่อผู้สั่งของ มีชื่อของคุณโคยูกิอยู่ในนั้นด้วย ทำให้ผมรู้สึกมีแรงฮึดในการทำงานและรีบส่งของให้เร็วเพื่อที่จะให้ถึงรายชื่อของเธอให้เร็วที่สุด
ระหว่างทางมีรถพยาบาลเปิดเสียงสัญญาณดัง เพื่อให้ผู้สัญจรหลีกทางให้ เหล่าผู้คนที่อยู่บนท้องถนนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยที่ผมก็เป็นหนึ่งในผู้สัญจรเหล่านั้น ผมก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้ผู้ที่อยู่ในรถพยาบาลนั้นหายป่วยไวๆ
ที่ที่คุณโคยูกิอาศัยอยู่ตามรายชื่อผู้สั่งพิซซ่าคือเขตคุริกะ ซึ่งเป็นเขตที่เหล่านักวิจัยอยู่รวมกันมากที่สุด โดยอยู่ในเขตบริการร้านที่ผมทำงานพาร์ทไทม์ ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว ลูกค้าที่สั่งพิซซ่ามักจะเป็นลูกประจำ แต่ครั้งนี้กลับมีรายชื่อของคุณโคยูกิ ซึ่งอาจหมายความว่าเธออาจจะเพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน
“พิซซ่ามาส่งแล้วครับ!”
“ค่าๆ จะไปเดี๋ยวนี้ละค่ะ” เสียงภายเธอดูเหมือนจะหิวมากๆ
เธอเปิดประตูออกมา แล้วตกใจอยู่ครู่หนึ่งที่เห็นหน้าของคนส่งพิซซ่า ซึ่งก็คือผมเองนั่นแหละ
“เท่าไหร่คะ?”
“729 เหรียญครับ” พร้อมยื่นใบเสร็จ
ที่มือข้างซ้ายถืออุปกรณ์อะไรสักอย่าง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร โดยมารยาทผู้คนจะไม่ถมเรื่องงานกันในวันหยุด และก็ไม่อยากเสียมารยาทกับเธอด้วย จึงไม่ได้ถามไปว่าสิ่งที่ถืออยู่นั้นคืออะไร
“เธอทำงานพาร์ทไทม์อยู่เหรอ”
“ใช่ครับ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจที่ช่วยแบ่งเบาภาระให้พ่อแม่
“สู้ๆนะ ฉันเป็นกำลังใจให้”
คำให้กำลังใจของเธอทำให้ผมมีกำลังใจทำงานอย่างเต็มเปี่ยมจนแทบล้น
“ขอตัวก่อนนะครับ”
“จ้ะ! ไปดีมาดีนะ”
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนโกหก เราทั้งสองคนได้วีดิโอคอลและคุยกันอย่างสนิทสนมทุกวันหลังจากต่างฝ่ายต่างทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองเสร็จ
ผ่านไปได้ 2 สัปดาห์แล้ว ผมได้ตัดสินใจนัดชวนเธอไปทานอาหารร่วมกัน ว่าแล้วก็คว้ามือถือที่อยู่บนโต๊ะเพื่อโทรไปหาเธอ
“ไม่ทราบว่า วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ว่างไหมครับ?” ผมหายใจถี่มากขึ้นรอคำตอบ
“ว่างตอนก่อนเที่ยงค่ะ ทำไมเหรอคะ?”
ใจของผมตอนนี้มันสั่นไปหมด ต้องรวบรวมสมาธิให้มั่นคง
“ผมอยากชวนคุณไปทานอาหารด้วยกันครับ”
“ได้ค่ะ จะนัดเจอกันที่ไหนดีคะ?”
“10 โมงเช้าที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีที่ 3 ที่นั่นมีร้านที่ผมอยากแนะนำให้คุณรู้จัก”
“ได้เลยค่ะ แล้วเจอกัน” จบบทสนทนาผมก็กลิ้งขลุกขลิกไปมาบนเตียง เก็บอาการแทบไม่อยู่ ผมรอวันนั้นไม่ไหวแล้ว
เช้าวันที่เรานัดเจอกัน ผมตื่นเต้นมากจึงรีบตื่นแต่เช้า สวมชุดเรียบง่ายแต่เป็นทางการ กางเกงขายาวสีดำพร้อมกับเข็มขัดรัดแน่น เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาล ทานมื้อเช้าเป็นโจ๊กเพื่อไม่ให้หนักท้องมากจนเกินไป สวมร้องเท้ากีฬาที่เพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน แล้วออกจากห้องเพื่อสูดอากาศของเช้าตรู่ มองใบไม้สีส้มที่กำลังร่วงลงไปอย่างช้าๆ
ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงเช้า ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 ชั่วโมง ผมตัดสินใจเข้าห้องสมุดของคอนโดฯเพราะว่ารัฐบาลส่งเสริมให้ประชาชนรักการอ่าน เพื่อที่จะได้เป็นกำลังหลักในการพัฒนาชาติ จึงทำให้มีห้องสมุดแทบจะทุกที่ในเมือง ห้องสมุดแห่งนี้อยู่ชั้นล่างของตึกที่ 7 เดินจากตึกที่ 9 จึงไม่ไกลนัก
ห้องสมุดมีความทันสมัยสมกับเป็นเมืองแห่งเทคโนโลยี ผมชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เพราะว่าอยากรู้ประวัติความเป็นมาและข้อผิดพลาดในอดีตของมนุษย์ เพื่อจะได้นำมาปรับใช้เป็นข้อคิดคติประจำใจในการดำรงชีวิต ผมได้แตะบัตรสมาชิกห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ มุ่งตรงไปยังหมวดหนังสือประวัติศาสตร์ ผมเห็นหนังสือประวัติศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่ผมตามหามานาน ขณะที่ผมกำลังหยิบหนังสือเล่มนั้น แต่แล้วมือของผมก็ได้ไปแตะกับมือของคนคนหนึ่งที่ต้องการหนังสือเล่มนั้นเหมือนกัน ผมได้หันไปมองพบว่าเป็นเด็กผู้หญิง ดูจากส่วนสูงแล้วน่าจะอยู่มัธยมต้น แต่พอดูดีๆเด็กผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนเธอแถมยังติดกิ๊บสีเทาลายสัตว์เหมือนกันอีกต่างหาก
“คุณก็ต้องการเล่มนี้เหมือนกันเหรอคะ?”
เธอถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ตาเป็นประกายระยิบรัวเหมือนว่าเธอก็อยากได้หนังสือนั้นมากๆเหมือนกัน
“ใช่ครับ”
เธอเตรียมไล่หาหนังสือที่หน้าสนใจเล่มอื่นต่อ
“ถ้าไม่ว่าอะไร จะมาอ่านด้วยกันก็ได้นะครับ?”
เธอทำตัวเขินอายตามประสาเด็กมัธยมต้น
“คะ? ก็ได้ค่ะ ถ้าไม่รังเกียจ”
ผมกับเธอได้หนังสือแล้วไปนั่งอ่านที่โต๊ะมุมซ้ายล่างของห้องสมุดชั้นบน เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกจับจองหมดแล้ว พวกเรานั่งข้างๆกัน ผมนั่งตัวแข็งทื่อ แต่ก็ไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ จึงได้เริ่มบทสนทนาเพื่อไม่ให้บรรยากาศเสียไปมากกว่านี้
“คุณชอบนักวิทยาศาสตร์คนไหนมากที่สุดเหรอ?” เธอทำหน้าทำตาครุ่นคิดเล็กน้อย
“ฉันชอบ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ค่ะ” เสียงหนักแน่นของเธอนั้นช่างมีความมุ่งมั่นเสียจริง
“ทำไมถึงชอบอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ละ?” บรรยากาศรอบตัวกำลังไปได้ดี แต่ทว่าเธอกลับทำหน้าไม่สบายเล็กน้อย มีเสียงหายใจติดขัดเป็นระยะๆ
“เป็นอะไรรึเปล่า ไปห้องพยาบาลดีกว่ามั้ยครับ?” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นหรอกค.........”
หน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีเขียวเหมือนถูกบีบคอ แล้วเธอก็ได้ล้มลงไปอย่างกะทันหันต่อหน้าต่อตา ทำให้พวกเรากลายเป็นจุดรวมสายตาของคนแทบทั้งห้องสมุดแห่งนี้ ผมได้รีบโทรหาห้องพยาบาลประจำคอนโดให้มารับเธอ รอเพียงไม่กี่อึดใจก็มีผู้ช่วยมายกเธอขึ้นรถเข็นไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล ผู้ช่วยได้ถามข้อมูลอาการก่อนหน้านี้เพื่อนำไปวินิจฉัยอาการ ผมได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นอะไร ว่าแล้วก็ดูนาฬิกาพบว่าเหลืออีก 30 นาที จึงต้องรีบเดินทางไปตามนัดไปเจอที่นั่น สถานีรถไฟใต้ดินสถานีที่ 3 ผมตื่นเต้นจนอดใจรอไม่ไหวแล้ว
ช่วงเที่ยงของวันหยุดสุดสัปดาห์ เป็นช่วงที่มีผู้คนบางตาที่สุดในสัปดาห์ ทำให้ผมหาเธอเจอได้อย่างง่ายดาย เธอใส่ชุดทำงานมาน่าจะเพราะว่าตอนบ่ายมีทำงาน ถึงแม้ผมไม่ค่อยรู้รายละเอียดเกี่ยวกับอาชีพการงานของเธอมากนัก
“สวัสดีตอนสายครับ เราจะไปกันเลยมั้ยตรับ?”
ผมที่ได้เก็บเงินมาเพื่อไม่อยากให้เธอเป็นฝ่ายจ่ายเพียงคนเดียว เพราะไม่อยากให้เธอมองว่าเราเข้าหาเพราะเงิน
“ค่ะ ไปกันเถอะ!” วันนี้เธอดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ร้านนี้ที่เราจะเข้าไปเป็นร้านอาหารที่คนไม่ค่อยรู้จัก แต่ผมรู้จักเนื่องจากว่าพวกเพื่อนของผมเคยชวนมากินข้าวเลี้ยงหลังจากสอบปลายภาเสร็จ แล้วผมก็ดันติดใจในรสชาติของร้านนี้
“จะสั่งอะไรดีละ?”
เธอถามผมอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้รายการอาหาร
“งั้นผมแนะนำละกัน เอาข้าวเทอริยากิทะเล”
ว่าแล้วผมก็เรียกบริกรให้มารับรายการอาหาร เธอทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย พร้อมกับเอามือทุบโต๊ะเบาๆ
“ข้าวเทอริยากินี่ มันจะเช้ากันเหรอคะ!”
ผมทำหน้าอึ้งไม่คิดว่าเธอจะทำปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ “เชื่อผมสิ อาหารมื้อนี้จะต้องอร่อยอย่างแน่นอน” เธอเงียบไปซักพักหนึ่ง แล้วก็แสดงสีหน้าเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง
“คุณต้องการจะบอกอะไรผมหรือเปล่าครับ? บอกให้ผมฟังก็ได้นะครับ ถ้ามันทำให้คุณสบายใจ”
ต้องรีบเปลี่ยนบรรยากาศให้เร็วที่สุด ผมต้องการให้มื้อนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
“ได้เหรอคะ? งั้นเริ่มเลยนะคะ” เธอเริ่มเล่าแล้ว ตื่นเต้นจัง
“ตอนที่ยังเด็ก ฉันเป็นเด็กไม่ค่อยแข็งแรง หายใจไม่เป็นจังหวะ และเหนื่อยง่ายมาก พ่อและแม่ต่างก็เป็นห่วงกัน วันหนึ่งฉันได้ล้มลงกระทันหันที่โรงเรียน พอเข้าโรงพยาบาล หมอก็ได้วินิจฉัยว่าเป็นโรคหัวใจเนื่องจากแม่ของฉันคลอดก่อนกำหนด หัวใจจึงยังไม่พัฒนาเต็มที่ ในวัยเด็กชีวิตของฉันส่วนใหญ่จึงอยู่แต่ในโรงพยาบาล ทำให้แทบไม่มีเพื่อนสมัยประถมเลย”
เธอเล่ามาถึงตรงนี้ก็สูดอากาศหายใจไปยังปอดทั้ง 2 ข้างลึกๆ เพื่อที่จะได้เล่าต่อ จากที่ผมคาดการณ์เธอน่าจะยังเล่าอีกยาวเลยละ
“ฉันได้เรียนหนังสือตอนประถมทางออนไลน์จากแท็บเล็ตอยู่ที่โรงพยาบาลเสียส่วนใหญ่ พอออกจากการรักษาตัวที่โรงพยาบาลก็ได้กลับเข้าโรงเรียน แต่ถึงไปฉันก็ไม่มีเพื่อนอยู่ดี พ่อของฉันย้ายบริษัทที่ทำงาน จึงได้ไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นแห่งหนึ่งที่เมืองนี้ ฉันสอบติดจึงได้เข้าเรียนและพยายามรักษาสุขภาพทุกอย่างตามที่คุณหมอสั่ง ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมากแต่ก็ต้องระวังตัวเพราะโรคอาจกำเริบอีกครั้งก็ได้”
เธอทำตัวเงียบเหมือนไม่อยากเล่าต่อ แล้วหยิบแก้วน้ำมาดื่ม
“จากนั้นฉันที่มีความสนใจวิทยาศาสตร์มากเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะโตขึ้นอยากทำงานเกี่ยวกับวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งรัฐบาลยังสนับสนุนด้วยใช้ไหมละ”
ฟังไปฟังมาผมรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“เดี๋ยวนะครับ! เมืองนี้รัฐบาลเพิ่งสร้างมาได้ไม่นานประมาณ 2-3 ปี แต่คุณทำงานแล้ว นั่นหมายความว่าตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนเลยเหรอครับ!”
ความสงสัยประหลาดๆว่าทำไมมันมีบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลในจิตใต้สำนึกของผม
“อย่าตกใจเรื่องที่ฉันจะเล่าต่อจากนี้นะ อิมารุ...”
สีหน้าและอากัปกิริยาท่าทางเธอดูเคร่งเครียดขึ้น ผมสันนิษฐานว่าเธอต้องเล่าอะไรที่ไม่ดีแน่ๆ
“ไม่นานหลังจากนั้น อาการโรคหัวใจของฉันก็ได้กำเริบ ครั้งนั้นเป็นครั้งที่มีอาการรุนแรงมาก หมอบอกว่าเกิดจากการอดหลับอดนอน เพราะว่าช่วงนั้นเป็นสัปดาห์ก่อนสอบจึงอ่านหนังสือถึงเช้า ตอน 2 วันก่อนสอบนั้นฉันได้ไปห้องสมุดแล้วได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่ง”
ผมฟังเธอเล่ามาจนถึงตอนนี้ก็เกิดอาการที่คล้ายๆ กับเดจาวูที่มีความหมายคือ ความรู้สึกที่เหมือนเคยเกิดเหตุการณ์นี้มาก่อน แต่ว่ามันกลับไม่เคยเกิดขึ้น
จากนั้นก็มีเสียงตามสายรายงานผลพยากรณ์อากาศประจำวันนี้แทรกเข้ามาว่าจะมีพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนักตั้งแต่วันนี้ไปอีก 7 วัน
“ฉันได้บังเอิญหยิบหนังสือเร็วเดี๋ยวกันกับผู้ชายคนนั้น แล้วได้อ่านด้วยกันอยู่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แล้วฉันก็เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม”
ทันใดนั้นบริกรที่กำลังเสิร์ฟโต๊ะข้างๆก็ได้ทำแก้วน้ำแตกเสียงดังไปทั่วร้าน เธอหยุดเล่าไปพักหนึ่งเนื่องจากเสียงแก้วแตก แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก เธอจึงเล่าต่อ
“วันนั้นฉันได้เข้ารับการผ่าตัดในทันที เนื่องจากว่าเป็นอาการรุนแรงขั้นสุดท้าย แต่โรงพยาบาลมีอวัยวะที่เพาะเลี้ยงไม่มากเพียงพอกับความต้องการ หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีเคสคนไข้สมองตายเพราะว่าเกิดอุบัติเหตุแถบนี้ คุณแม่ของเขาได้ตัดสินใจบริจาคอวัยวะของลูกชายให้กับผู้ที่ต้องการ ฉันได้รับหัวใจจากผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นเปรียบดั่งผู้มอบชีวิตให้ฉันได้มีสิทธิ์ชีวิตต่อไป”
พอจบการเล่าความหลัง น้ำตาของเธอก็ไหลรินรดคออย่างไม่รู้ตัว พอผมเห็นเธอร้องไห้ก็ได้พูดไปว่า
“ผู้ชายคนนั้นคงจะรู้สึกดีใจที่ร่างกายของเขายังมีประโยชน์ และในตอนนี้ หัวใจของเขาก็ยังเต้นอยู่ในตัวของคุณ”
เธอหยุดร้องไห้ พร้อมกับพูดประโยคที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน
“ผู้ชายคนนั้นน่ะ ก็คือเธอยังไงละ”
ผมที่เคี้ยวอาหารอยู่ในปากถึงกับกัดลิ้นตัวเอง
“โอ๊ย!!! เจ็บลิ้นจัง ว่าแต่เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะครับ หูของผมได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไร”
“ผู้ ชาย คน นั้น ก็ คือ เธอ ไง ละ !”
ผมหน้าชารวมกับความตกใจและตื่นกลัวอย่างสุดขีด ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร
“เธอจะประสบอุบัติเหตุจนสมองตาย และฉันก็ได้หัวใจของเธอที่บริจาค” เสียงเธอพูดเงียบและเบา
“จะเกิดอุบัติเหตุกับเธอในวันพรุ่งนี้” เธอทำหน้าเสียใจ
ผมที่รู้สึกสงสัยว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร จึงได้เอ่ยปากถามเธอไปว่า
“คุณรู้ได้ยังไง คุณมาจากอนาคตเหรอครับ?” ระดับความไม่สบายใจพุ่งสูงสุด
เธอทำเสียงกระแอ้ม ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม
“ใช่ ฉันมาจากอนาคต อนาคตในอีก 15 ปีข้างหน้า ด้วยเครื่องย้อนเวลาที่จะถูกพัฒนาโดยกลุ่มนักวิจัยที่มีฉันเป็นหัวหน้า เพื่อมาให้เธอได้ใช้เวลาในชีวิตได้อย่างเต็มที่ไงละ”
พอเธอพูด มันทำให้ผมรู้สึกกังวลและโกรธมาก
“แล้วคุณจะมาทำให้ผมรักและชอบคุณทำไม ในเมื่อสุดท้ายเราก็ต้องลาจากกัน”
“ฉันก็แค่อยากตอบแทนที่เธอเคยมาเป็นเพื่อนอ่านหนังสือกับฉัน ตอนฉันเด็กๆฉันไม่มีเพื่อนเลย แต่คุณเป็นคนแรกที่เข้าหาฉันก่อน ตอนนั้นที่คุณเอ่ยปากชวนฉันอ่านหนังสือด้วยกัน ฉันรู้สึกดีใจมากๆเลยค่ะ”
น้ำตาของเธอไหลอีกแล้ว ครั้งนี้เหมือนจะมากกว่าเดิมเสียด้วย ผมได้ครุ่นคิดว่าถ้าเกิดพรุ่งนี้เป็นวันตายของเราจริงๆ แล้วเราจะเปลี่ยนชะตาได้มั้ยนะ
“อนาคตจะไม่เปลี่ยนแปลง อะไรเกิดขึ้นแล้วก็ต้องเกิดขึ้น”
เธอพูดราวกับว่าเธออ่านความคิดผมออก งั้นหมายความว่าต้องยอมรับโชคชะตาใช้ไหม
“อ๊ะ! ขอโทษนะคะ ถึงเวลาต้องไปแล้วละคะ” เธอมีทีท่าที่รีบร้อนมาก
“ผมมีสิ่งหนึ่งอยากจะให้คุณ”
ว่าแล้วผมก็ยื่นกระเป๋าสตางค์ของผมที่เธอเก็บให้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนให้ ผมเอาของทุกอย่างออกจากกระเป๋าใบนั้น
“ถ้าปาฏิหาริย์มีจริง ช่วยให้ผมรักคุณนานมากกว่านี้ด้วยเถอะครับ” จู่ๆน้ำตาของผมก็ไหลออกมาเช่นกัน
เราคงจะได้จบความรักและความสัมพันธ์ระหว่างเรา 2 คนไว้แค่นี้แล้วสินะ
“แล้วเจอกันใหม่ในอดีตนะ ขอบใจจริงๆที่ช่วยให้ฉันได้มีชีวิต”
ว่าแล้ว เธอก็ลุกจากโต๊ะ แล้วก็จากผมไป
ระหว่างทางกลับบ้าน ผมได้เอาแต่ครุ่นคิดว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่เราต้องตาย ก็ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก แต่เธอก็พูดออกมาแล้วว่าโชคชะตาไม่ทางเปลี่ยน ก็ว่าทำไมผมคิดว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาช่างเหมือนปาฏิหาริย์
คืนวันนี้ ผมหนังตาของผมไม่ยอมหล่นลงมา เพราะรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันที่เราจะต้องประสบอุบัติเหตุ และได้บริจาคหัวใจให้แก่เธอ แล้วเธอย้อนเวลากลับมาหาเราในอดีต เมื่อตอนที่เราเจอกันที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
“พวกเรานี่ช่างเหมือนงูโอโรโบรอส(งูกินหาง)เสียจริง” แล้วผมก็หลับลงเสียที”
เช้าวันนี้ มีพายุฝนฟ้าคะนองตามที่พยากรณ์อากาศ ผมได้กางร่มคันสีดำออกไปทำงานตามปกติ พยายามใช้ชีวิตให้เหมือนปกติมากที่สุด ท่องเอาไว้ในใจว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” ซึ่งช่วยทำให้ใจเย็นได้บ้าง ตอนนี้ผมมีเงินเหลือไม่มากนัก เพราะหมดไปกับการใช้จ่ายค่าอาหารที่ผมเป็นฝ่ายเลี้ยงเมื่อวาน จึงต้องประหยัดให้มากที่สุด
ขณะที่ผมกำลังทำงานส่งพิซซ่า ถุงที่ใส่ของกล่องพิซซ่าได้ขาดออกทำให้ของร่วงกระจัดกระจายไปทั่ว ผมได้หันซ้ายหันขวาว่าจะมีอันตรายอะไรรึเปล่า พอได้จังหวะจึงได้รีบเก็บมาให้ครบและเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
“ครบแล้ว รีบไปส่งกว่า” ผมกำลังลุกขึ้นไปขี่มอเตอร์ไซต์หลังจัดการกล่องพิซซ่าที่ร่วงจนหมด
ทันใดนั้น ก็มีแสงและเสียงเข้ามาใกล้ผม พอหันไปก็พบว่าเป็นรถบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่นั่นมุ่งเข้ามาหาตัวของผม
“นี่คือวาระสุดท้ายของฉันสินะ” ในเสี้ยววินาที ผมพูดกับตัวเองที่รู้ว่ากำลังไม่รอด
“ไม่สิ เราจะมีชีวิตต่อไปผ่านหัวใจที่เราใช้ร่วมกัน”
ตอนนี้เวลาช่างยาวนานเหลือเกิน ภาพในอดีตทั้งหมดได้กลับมาฉายอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“ลาก่อนครับ พ่อ แม่ ทุกคน”
ปั้ง!!! โครม!!! เสียงดังสนั่น โคยูกิที่กำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว เพื่อจะมาเจออิมารุเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็สายไปเสียแล้ว โคยูกิได้แต่ยืนนิ่งท่ามกลางสายฝน แล้วร้องไห้ออกมา
“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด”
โคยูกิร้องไห้ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายพร้อมกับจับหน้าอกของตัวเองที่มีรอยแผลเป็นตอนผ่าตัดหัวใจ
วันต่อมาโคยูกิได้ ตัดสินใจเข้าเครื่องย้อนเวลา กรอกเวลาและสถานที่ที่ต้องการไปเจอ โดยที่มือของเธอได้ถือกระเป๋าสตางค์ของอิมารุ และเวลาที่เธอกรอกคือ 10 ปีก่อน ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินเมืองเกิดของอิมารุ
โคยูกิได้เดินทางมาถึงเมื่อ 10 ปีก่อน เธอได้ดูเวลาบนนาฬิกาสาธารณะประจำสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
“นี่คือปี 2010” เธอรู้สึกทึ่งเมื่อรู้ว่าร่างกายคนสามารถทนต่อการย้อนเวลาได้ไกลถึง 25 ปี
ตามที่อิมารุบอก เขาเคยเล่าเรื่องกับการมาเที่ยวสวนสัตว์และได้พลัดหลงกับพ่อแม่ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เนื่องด้วยความซนของเขาโดยที่พ่อไปเข้าห้องน้ำและแม่จะไปซื้ออาหาร จึงบอกให้อิมารุรออยู่ใกล้ๆ
โคยูกิได้ดูแผนที่ที่อยู่แถวบอร์ดประชาสัมพันธ์เพื่อดูตำแหน่งของศูนย์อาหาร แล้วก็ได้เดินมุ่งไปยังทิศตะวันออกของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ในที่สุด โคยูกิก็ได้เจอกับอิมารุในวัยเด็กที่กำลังร้องไห้เนื่องจากพลัดหลงกับแม่ เธอจึงได้ให้ความช่วยเหลือ
“หนูน้อยพลัดหลงกับคุณแม่อยู่เหรอจ้ะ?” โคยูกิก้มตัวลงคุยกับเมมวัย 8 ขวบ
“ฮือๆๆ ได้โปรดช่วยผมด้วยครับ” เด็กน้อยอิมารุร้องไห้ที่พลัดหลงกับแม่
ว่าแล้ว โคยูกิก็ได้จูงมืออิมารุวัย 8 ขวบไปที่แผนกประชาสัมพันธ์รับฝากเด็กหลงทาง
“ฮือๆ แม่จะมาหาผมมั้ยครับ” อิมารุยังร้องไห้ไม่หยุด
โคยูกินึกขึ้นได้ว่าตนเองต้องเอากระเป๋าสตางค์ของอิมารุในอนาคตให้กับอิมารุวัย 8 ขวบ แล้วเธอก็ได้ให้กระเป๋าใบนั้นกลับคืนสู่อิมารุอีกครั้ง
อิมารุจ้องโคยูกิที่กำลังเดินจากไปอย่างไม่กระพริบตา แสดงความเขินอายทางสีหน้าเล็กน้อย
“เราจะได้เจอกันอีกมั้ยครับ พี่สาว” เด็กน้อยที่ได้หลงเสน่ห์ของโคยูกิ ถามด้วยความสงสัย
โคยูกิได้หันหลังกลับมา ทบทวนสิ่งที่พูดจึงได้ตัดสินใจพูดอย่างหนึ่งฝากไว้
“ต้องได้เจอกันอีกสิ ต้องได้เจอกันแน่นอน” น้ำตาของโคยูกิไหลรินลงมาอย่างไม่รู้ตัว ว่าแล้วโคยูกิจึงรีบวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
-END-
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ [El Nino] ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ [El Nino]
ความคิดเห็น